กำลังใจจากใครสักคน - กำลังใจจากใครสักคน นิยาย กำลังใจจากใครสักคน : Dek-D.com - Writer

    กำลังใจจากใครสักคน

    รักเศร้าๆ ซึ้งๆค่ะ

    ผู้เข้าชมรวม

    406

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    406

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  16 มิ.ย. 67 / 11:20 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับ โชเน็น-ไอหรือ Yaoi นะคะ

    ถ้าใครไม่รู้จักหรือรับไม่ได้ก็ปิดไปนะคะ

    ถึงจะไม่มีคนอ่าน ก็ยังรู้สึกดีกว่าที่จะมีคอมเม้นท์แปลกๆ

    ขอบคุณค่ะ
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      555+ 

      ฆ่าเวลาซะงั้นเลยเรา

      เรื่องยาวยังไม่จบมานั่งลงเรื่องสั้นแล้วเรา เหอ เหอ

      แต่มันถูกใจอ่ะ ถ้าใครอ่านแล้วว่ามันคุ้นๆไปสักหน่อย

      ไม่รู้มีใครแต่งแนวนี้ออกมายังก็ไม่รู้สิ แหะ แหะ

      เอางี้แล้วกันนะ ไปอ่านกันเลยดีกว่า

      ถ้ามีข้อผิดพลาดอะไรก็ขอโทษทีนะ 

      เพราะเป็นช็อตฟิคเรื่องแรกเลยอ่ะนะ

      ความจริงแล้วลงในบอร์ด fixxx มาแล้วอ่ะค่ะ ไงก็ลองอ่านกันดูนะคะ


      *~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*
      กำลังใจจากใครสักคน

      [U+UE+NO] 
      *~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~* 


      "ทัตจัง ทำไรอยู่อ่ะ"
      จู่ๆคาเมะก็วิ่งมาจากด้านหลังผม พร้อมกับชะโงกหน้ามามองสิ่งที่ผมถืออยู่
      แต่ครั้นพอเห็นกระจุกขนในมือของผมรวมทั้งสีแดงของเลือดสดๆ คาเมะก็ถึงกับร้องออกมาด้วยความตกใจ
      "เฮ้ย! อะไรอ่ะเนี่ย"
      แล้วก็รีบถอยกรูดออกไปทันที

      "ลูกแมวตายอ่ะ คงเป็นลูกแมวหลงทางมั้ง พอดีฉันเห็นว่ามันถูกรถชนน่ะ น่าสงสารจัง"
      ผมมักจะเป็นคนใจอ่อนกับเด็กและสัตว์ตัวเล็กๆเสมอ
      ยิ่งถ้าได้ดูหนังหรืออะไรที่มีเด็กประสบอุบัติเหตุเป็นอะไรไป ก็มักจะร้องไห้ตั้งแต่ต้นจนจบทุกที
      แต่ถึงเหตุการณ์จะผ่านพ้นไปแล้ว ทุกครั้งที่นึกถึง ก็จะต้องร้องไห้สะอึกสะอื้นทุกทีไป
      เรียกได้ว่าเป็นคนต่อมน้ำตาตื้นก็ว่าได้

      "เอ้า ทัตจังขี้แย น้ำตาร่วงอีกแล้ว"
      คาเมะอดที่จะแซวผมไม่ได้

      "ทัตสึยะ"
      มีเสียงเสียงนึงเรียกชื่อผมดังขึ้นจากสมาชิกชมรมบีทบ็อกซ์ที่เดินผ่านมา 
      เจ้าของเสียงก็คือ -นากามารุ ยูอิจิ-

      "เป็นอะไรไปน่ะ ร้องไห้อีกแล้วหรอ"
      นากามารุคุงถามขึ้นด้วยสีหน้าเป็นห่วง

      คาเมะผลักผมจนเซไปชนเข้ากับแผ่นอกของนากามารุคุงดังพลั่ก
      "นากามารุคุง ฝากดูแลด้วยล่ะ คงจะมีแต่นากามารุคุงคนเดียวล่ะมั้งที่สามารถห้ามน้ำตาของทัตจังได้อ่ะ"
      คาเมะฝากฝังผมให้นากามารุคุงแล้วก็เดินจากไป

      "หืม ลูกแมวหรอ ช่วยกันฝังไหม"
      นากามารุคุงเอ่ยถามขึ้น

      "อื้ม"

      ขณะนั้นเราอยู่ที่ข้างถนนกำลังจะกลับบ้าน และเพราะว่าจะต้องฝังเจ้าลูกแมวตัวนั้นจึงทำให้ต้องหาทำเลเหมาะๆในการที่จะฝังมัน จึงมองหาไปรอบๆบริเวณก็ไม่น่าจะมีที่ฝังได้เลย

      "ทัตสึยะ ผมว่าน่าจะเอาไปฝังที่สวนสาธารณะแถวๆนี้นะ บริเวณนี้ไม่มีที่ให้ฝังซะด้วยสิ"
      นากามารุคุงก็เอ่ยเรียกผมที่กำลังหันรีหันขวางอยู่ เพื่อหาที่ฝังให้มัน

      "ครับ"

      เมื่อมาถึงมุมเหมาะของสวนสาธารณะ นากามารุคุงก็มองหาเศษกิ่งไม้ที่หล่นอยู่แถวนั้นเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการขุดหลุม

      "ชมรมเลิกช้าจังเนอะ"
      ผมชวนคุย เพื่อที่บรรยากาศจะได้ไม่เงียบจนเกินไปนัก

      "อืม กำลังจะมีการแข่งขันประจำจังหวัดน่ะ ขอโทษที่ให้รอ ทีหลังกลับก่อนก็ได้นะ"
      นากามารุคุงบอกโดยที่สายตายังไม่ละจากการฝังศพเจ้าเหมียว

      "ไม่เป็นไรหรอก เรื่องแค่นี้เอง"
      ผมตอบกลับไป ถ้ามันจะทำให้เราได้เดินกลับบ้านด้วยกันแล้วล่ะก็ ถึงจะต้องรอนานแค่ไหนผมก็รอได้

      ตอนนี้มือของผมและนากามารุคุงเลอะเทอะไปด้วยดิน เพราะช่วยกันฝังศพเจ้าเหมียวตัวนั้น
      แต่นากามารุคุงไม่แสดงสีหน้าหรือท่าทีรังเกียจให้เห็นแม้แต่น้อย แค่ปัดดินออกจากมือเท่านั้นก็เป็นอันเรียบร้อย ขณะนั้นผมจ้องมองใบหน้าด้านข้างของนากามารุคุงอึดใจใหญ่

      คนที่ผมรัก.......

      คนที่ผมรักมาก......

      รักมากที่สุด.......

      พอดีกับที่นากามารุคุงหันมามองราวกับว่าเค้าได้ยินเสียงร่ำร้องจากหัวใจผม เล่นเอาผมถึงกับสะดุ้งไปเลย

      "ค่อยยังชั่ว หยุดร้องไห้นะแล้วคราวนี้"
      เค้าเหลือบตามามองผม แล้วก็หัวเราะ ทำเอาผมใจเต้นแรงไปหมด
      จากนั้นเค้าก็โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนผมต้องหลับตา เพราะรู้โดยสัญชาตญาณว่าต่อไปจะต้องพบกับอะไร

      จูบอันแสนอบอุ่น

      วันนั้นผมรู้สึกไม่อยากแยกจากเค้ายังไงก็ไม่รู้บอกไม่ถูก เราจึงนั่งคุยกันอยู่แถวหน้าบ้านของผมจนดึก
      "คงต้องกลับแล้วหล่ะ ถึงบ้านแล้วจะโทรมาหานะ รหัสลับสามกริ๊งเหมือนเดิม"

      "ขอโทษนะที่ไม่ได้ชวนเข้าบ้านน่ะ มันดึกแล้วด้วย"
      ผมบอกอย่างเกรงใจ เต็มที่

      "ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่คราวหน้า..."
      นากามารุคุงพูดแล้วก็หยุด ถ้ามองไม่ผิดผมคิดว่าผมเห็นเค้าหน้าแดงๆนะ แล้วนั่นก็ทำให้ผมเขินไปด้วยอีกคน ผมจึงถามออกไปแก้เขินว่า

      "อะไรหรอ"

      "มาเที่ยวบ้านผมนะ คือว่า...อยากแนะนำให้รู้จักกับคนที่บ้านน่ะ เอาไว้หลังการแข่งขันประจำจังหวัดก็แล้วกัน"
      พูดจบก็ยิ้มเขินๆมาให้ผม ช่างเป็นรอยยิ้มที่ผมชอบมากๆ

      "อืม"
      ผมโบกมือลาด้วยหัวใจที่หวั่นไหว แต่ก็ไม่ลืมยิ้มให้เค้าเป็นการส่งท้ายก่อนที่เค้าจะเดินจากไป

      ผมรักนากามารุคุง รักที่สุด รักเหนือสิ่งอื่นใด



      วันแข่งขันบีทบ็อกซ์ประจำจังหวัด

      วันนั้นผมกับคาเมะมารอดูการแข่งขันของนากามารุคุงอยู่ข้างหลังเวที เพราะผมเป็นที่รู้จักของสมาชิกในชมรม ผมกับคาเมะจังจึงได้รับสิทธิพิเศษให้เข้าไปที่หลังเวทีได้
      แต่ว่าผมก็รอ รอเท่าไหร่นากามารุคุงก็ยังไม่มาซะที ทั้งที่คนอื่นเค้าก็มาถึงกันแล้ว ขณะนี้มีเพียงนากามารุคุงคนเดียวที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะมาเลย หัวใจผมเริ่มร้อนรนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก นากามารุคุงเป็นตัวเต็งในการแข่งขัน เขาเป็นคนที่รักษาเวลา โดยเฉพาะเรื่องที่จะไม่มานั้นไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด  ไม่ว่าจะเจ็บไข้ไม่สบายขนาดไหนเขาก็ยังคงดึงดันมาจนได้

      แต่แล้วผมก็ได้ยินเสียงพวกสมาชิกชมรมตะโกนกันให้โหวกเหวกจากด้านนอก ผมรีบวิ่งฝ่าฝูงชนออกไปเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น

      อุบัติเหตุรถชน

      ตายคาที่

      ได้ยินแต่คำพูดที่น่ากลัวเหล่านั้นดังอื้ออึงไปหมด

      นอกจากนั้นยังได้ยินชื่อนากามารุคุงปนอยู่ด้วย แต่ดูเหมือนกับว่าประสาทหูของผมจะไม่ยอมรับรู้อะไรอีกแล้ว อย่างน้อยก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ ไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น จนกระทั่งคาเมะเข้ามาฉุดแขนผมแล้วผลักให้เข้าไปในรถคันนึง คล้ายกับว่าคาเมะกำลังพูดอะไรบางอย่างพร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมายกใหญ่

      แปลกที่ผมไม่เคยเห็นคาเมะจังร้องไห้มาก่อน

      ภายในอาคารที่เป็นจุดหมายปลายทางของรถที่ผมอาศัยมา ผมคิดว่านากามารุคุงคงอยู่ที่ไหนสักแห่งในนั้นแน่ๆ
      แต่พอโผล่หน้าเข้าไปก็ได้เห็นเตียงคนป่วยตั้งอยู่ริมห้อง บนเตียงมีร่างใครสักคนนอนนิ่งอยู่ เพราะมีผ้าปิดอยู่บนใบหน้าผมจึงไม่สามารถมองเห็นหน้าเค้าได้
      หลังจากนั้น...ทุกอย่างก็เลือนราง และผมก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย


      หลังจากงานศพผ่านพ้นไปหลายวัน ผมนอนคุดคู้อยู่บนเตียง ในมือยังกำหูโทรศัพท์ไร้สายแน่น ก่อนหน้านี้คาเมะจังโทรมาหาผมและชวนคุยเรื่องต่างๆมากมาย เพื่อหาทางช่วยให้ความรู้สึกของผมดีขึ้น อีกฝ่ายคุยไม่ยอมหยุด ราวกับว่าถ้าพูดเรื่องไหนขาดช่วงขาดตอนไป ผมคงร้องไห้โฮออกมาเป็นแน่ จนกระทั่งผมได้ยินเสียงคาเมะถูกคนที่บ้านดุว่าใช้โทรศัพท์นานเกินไปแล้ว
      "ขอโทษนะ คาเมะจัง ฉันจะวางหูแล้ว"
      ผมจึงรีบพูดตัดบทขึ้นเสียก่อน 

      เมื่อเหลือบตามองดูนาฬิกาก็ปรากฏว่าเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว ขอโทษนะ คาเมะจัง ผมยังคงกำหูโทรศัพท์เอาไว้เช่นนั้น ขณะที่ผมนอนร้องไห้หลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ตัว มาตกใจตื่นตอนโทรศัพท์ในมือดังขึ้น

      กริ๊งงงงงงงงงงงง

      กริ๊งงงงงงงงงงงง

      กริ๊งงงงงงงงงงงง

      จากนั้นก็เงียบเสียงไป ตอนนั้นเป็นเวลาตี 4
      3 กริ๊ง สมองผมยังคงงัวเงียอยู่

      กริ๊งงงงงงงงงงงงง

      โทรศัพท์ดังขึ้นมาอีก 3 กริ๊ง...นากามารุคุง

      "นากามารุคุง"
      ผมหลุดปากทันทีที่กดรับสาย

      "ทัตสึยะใช่มั้ย"
      เสียงนั้นฟังแล้วรู้สึกเหมือนกับดังมาจากที่ที่ไกลมาก

      "อื้ม"
      ผมงัวเงียตอบ

      "สบายดีหรือเปล่า"
      เขาถาม

      "ฉันเพิ่งจะร้องไห้ตอนคุยโทรศัพท์กับคาเมะจังเมื่อกี้น่ะ"

      "ร้องไห้จนหลับไปแบบนี้ เดี๋ยวตาบวมแล้วไม่สวยนะรู้มั้ย"
      เขาบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่เหมือนจะล้อๆในที

      "ตอนนี้หน้าฉันคงน่าเกลียดจนทนดูไม่ได้แล้วหล่ะ"
      ผมเริ่มสะอื้นอีก

      "อย่าร้องไห้สิ ทัตสึยะยิ่งชอบร้องไห้อยู่ด้วย"

      "เอ...แล้วฉันร้องไห้ทำไมนะ...."
      ผมพึมพำกับตัวเอง
      และแล้วในที่สุดสมองผมที่เหม่อลอยก็ตื่นขึ้นจากภวังค์

      "นากามารุคุง...ตอนนี้อยู่ไหนน่ะ...ที่ว่าตายแล้วก็เป็นเรื่องโกหกสินะ"
      ผมถามขึ้นอย่างตื่นเต้น แต่...กริ๊ก
      นากามารุคุงวางหูไปแล้ว ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นแสงแดดขึ้นมารำไร 

      วันนั้นผมไปโรงเรียนแล้วเล่าให้เพื่อนฟังถึงเรื่องโทรศัพท์จากนากามารุคุง แต่เสียงที่ได้รับตอบกลับมาจากเพื่อนๆนั่นก็คือ

      "นายอ่ะฝันไปแล้วน่ะสิ"

      ความจริงแล้วผมเองก็ไม่ค่อยจะแน่ใจในสมองตัวเองเหมือนกัน ว่าตกลงตัวเองฝันไปหรือเปล่า แต่ความรู้สึกลึกๆข้างในของผมจริงๆแล้ว ผมเชื่อว่านั่นเป็นโทรศัพท์จากเค้าจริงๆ

      วันนี้ผมเรียนไม่ค่อยรู้เรื่องสักเท่าไหร่ นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดาของผมในช่วงนี้ เพราะตั้งแต่ที่นากามารุคุงจากไป ก็ดูเหมือนกับว่าสมองผมจะค่อนข้างเบลอไปสักหน่อย ถึงแม้ว่าบรรดาเพื่อนๆจะพยายามชวนคุยหาเรื่องหากิจกรรมให้ทำ แต่มันก็ช่วยได้ไม่มากนัก ในใจก็ได้แต่นึกขอโทษพวกนั้นไป ที่พวกนั้นอุตส่าห์พยายามทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเท่าไหร่ แต่ผมก็จะยิ่งเศร้ามากขึ้นเท่านั้น

      วันนี้ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไหร่จึงขออนุญาตอาจารย์กลับบ้านก่อน โดยมีคาเมะจังเดินกลับมาเป็นเพื่อน ระหว่างทางที่เดินกลับบ้านคาเมะจังก็ชวนผมคุยด้วยตลอด ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมคาเมะจังถึงมีเรื่องมาคุยให้ผมฟังเยอะแยะมากมายขนาดนี้ ผมอดที่จะนับถือไม่ได้จริงๆ

      และคืนนี้ผมก็ยังคงกำหูโทรศัพท์ไร้สายเช่นเดิม และที่เหมือนเช่นเดิมทุกคืนนั่นคือ ผมต้องร้องไห้ก่อนนอนทุกคืนจนหลับไปทุกที

      กริ๊งงงงงงงงงง

      กริ๊งงงงงงงงงง

      กริ๊งงงงงงงงงง

      3 กริ๊ง ผมยังไม่แน่ใจที่จะรับสักเท่าไหร่ แต่ในขณะเดียวกันผมก็ไม่สามารถทนรอต่อไปได้ในที่สุด จึงกดรับสายแล้วกรอกเสียงลงไปที่หูโทรศัพท์ทันที

      “นากามารุคุงใช่มั้ย”
      ผมถามเสียงตื่นเต้น

      “ครับ ทัตซสึยะเป็นยังไงบ้าง”
      เค้าถามผมเหมือนเมื่อคืน

      “ก็เหมือนเดิมนั่นแหละ”
      ผมตอบกลับไป

      “ฉันรอโทรศัพท์นายอยู่นะ ฉันเชื่อว่านากามารุคุงต้องโทรมาอีกแน่ๆ”
      ผมเชื่ออย่างนั้น ว่าผมไม่ได้ฝันไปแน่ๆ

      “หรอ ผมอยากให้ทัตสึยะเข้มแข็ง”
      เค้าบอกผมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนไม่แพ้เมื่อคืน

      “ก็ถ้ามีนากามารุคุงโทรหาฉันอยู่อย่างนี้ละก็นะ ฉันก็อยู่ได้”
      ผมบอกเค้าอย่างมั่นใจ ขอแค่ได้ยินเสียง ได้พูดคุยกับเค้าแบบนี้ก็พอแล้ว

      “อื้ม ต้องสัญญากับผมก่อนว่าจะไม่ร้องไห้อีก”

      “อื้ม”
      ผมตอบรับด้วยหัวใจแช่มชื่น

      กริ๊ก แล้วเค้าก็วางสายไป

      นับจากวันนั้นเค้าก็โทรหาผมตอนตี 4 ทุกวัน แต่ผมไม่ได้เอาเรื่องนี้ไปเล่าให้เพื่อนฟังอีกแม้กระทั่งคาเมะจัง และนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเพื่อนๆก็เป็นต้องแปลกใจเมื่อเห็นผมเปลี่ยนไป ผมสดใสร่าเริงขึ้น ไม่ร้องไห้อีก เปลี่ยนจากก่อนหน้านี้ราวกับคนละคน

      พรุ่งนี้ก็วันเกิดของนากามารุคุงแล้วสินะ เค้าจะโทรหาเหมือนทุกทีไหมน้า ผมคิดไปพลางยิ้มไป แต่แล้วคืนนี้เค้าก็ไม่โทรมาเหมือนอย่างทุกที ทั้งที่ผมตั้งตารอไม่ยอมหลับไม่ยอมนอนรอจนตี 4 แต่ก็ไม่มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นสักกริ๊งเดียว พอเช้าก็เอาซีดีเพลงโปรดของนากามารุคุงมาเปิดฟัง ที่จริงแล้วกะว่าจะซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดให้เค้า แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ให้ในที่สุด วันนี้ลองไปที่บ้านเค้าดูก็แล้วกัน

      ความจริงแล้วผมเคยไปที่บ้านของนากามารุคุงมาก่อน อืมมม ก่อนที่เราจะคบกันซะอีก เมื่อ 1 ปีก่อนได้มั้ง เค้ามีการประชุมของชมรมแล้วก็ตัดสินใจไปประชุมกันที่บ้านของนากามารุคุง ผมก็ได้ไปที่บ้านของเค้าด้วย  ทั้งที่ไม่ได้อยู่ชมรมบีทบ๊อกซ์

      ตอนเย็นในขณะที่กำลังเดินทางไปจนเกือบจะถึงบ้านของนากามารุคุงอยู่แล้ว ตอนที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่นั้น จู่ๆผมก็ได้ยินเสียงเหมือนเสียงของนากามารุคุงดังขึ้นจากด้านหลังจนผมตื่นขึ้นจากความคิด ผมหันไปมองก็ไม่มีนากามารุคุงนี่นา  จะมีก็แต่เด็กนักเรียนชายม.ต้นประมาณ 4-5 คน กำลังเดินตามมาข้างหลังผมเท่านั้น  ได้แต่ถอนหายใจออกมาเหนื่อยๆ  แต่แล้ว...

      “นากามารุคุง งั้นพวกเราไปก่อนนะ แล้วอย่าร้องไห้คิดถึงพี่ชายล่ะ ไปล่ะ บาย”
      เสียงของนักเรียนชายหนึ่งในนั้นพูดกับเด็กผู้ชายคนที่ตัวสูงที่สุดในกลุ่มพร้อมกับตบบ่าเด็กคนนั้นเบาๆเป็นการให้กำลังใจอีกฝ่าย

      ชั่ววินาทีแรกที่ผมเห็นเด็กผู้ชายคนนั้น ผมก็ถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ เพราะเค้ามีใบหน้าที่ละม้ายคล้ายกับนากามารุคุงมาก ถึงจะไม่เหมือนซะทีเดียวนัก แล้วผมก็ต้องนึกแปลกใจทันที ที่คิดออกเด็กคนนั้นก็คือ จุนโนะสึเกะน้องชายของนา-กามารุคุงนั่นเอง ผมเคยพบเค้ามาก่อนเมื่อครั้งที่ผมมาที่บ้านของนากามารุคุงเมื่อปีก่อน แต่นั่นน้องชายของเค้าก็ยังเด็กนัก นึกไม่ถึงว่าเวลาเพียงปีเดียวจะทำให้เค้าโตขึ้นขนาดนี้ เมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ ผมก็ต้องเปลี่ยนใจวิ่งกลับบ้านทันที เพื่อไปรอโทรศัพท์จากนากามารุคุงดังเช่นทุกวัน

      และเวลาตี 4 เค้าก็โทรหาอย่างเคย ตลอดเวลาที่คุยกันนั้นผมก็นึกไปถึงหน้าน้องชายของนากามารุคุง และเสียงของเขาเมื่อฟังดีดีแล้วจะเห็นได้ว่าเสียงนั้นยังดูเด็กนัก หรือว่านี่จะคือโฉมหน้าที่แท้จริงของเสียงที่โทรหาผมอยู่ทุกคืน

      ผมได้เดินทางไปที่บ้านของเค้า เพื่อไปร่วมงานครบ 49 วันที่นากามารุคุงจากไป เมื่อได้มาถึงบ้านเค้าและร่วมพิธีจนจบแล้วนั้น 

      “จะขึ้นไปบนห้องพี่ไหมฮะ”
      จุนโนะก็เดินเข้ามาถามผม และพาผมขึ้นไปบนห้องนั้น ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ผมได้ขึ้นไป ทุกอย่างดูแปลกตา แต่ก็คงความเป็นนากามารุคุงได้อย่างดี 

      “ไม่อยากเชื่อเลยว่าตอนนี้พี่ชายจะไม่อยู่แล้ว”
      จุนโนะเดินไปยืนอยู่ที่ข้างหน้าต่าง ผมสังเกตเห็นว่าเค้ากำลังร้องไห้ ผมเองก็อดที่จะเศร้าใจตามไปด้วยไม่ได้ แล้วจากนั้นเราก็ร้องไห้ด้วยกันในที่สุด  ถึงแม้ว่าผมจะพยายามห้ามน้ำตาสักเท่าไหร่ก็ตาม แต่มันก็ดูเหมือนว่ามันจะยากเสียเหลือเกินในเวลานี้ ยิ่งเมื่อได้เห็นน้องชายของคนที่เขารักที่สุดร้องไห้ออกมาอย่างนั้นแล้วมันสะเทือนใจเขายิ่งนัก  จนทำให้ความพยายามทั้งหมดนั้นพังทลายลงพร้อมๆกับน้ำตาที่หลั่งรินลงมาเป็นสายอย่างไม่อาจอดกลั้นเอาไว้ได้ 

      “พี่ชายโทรหาไปคุณหรอ”
      เค้าเอ่ยถามผมขึ้น หลังจากที่หยุดร้องไห้แล้ว

      “ผมได้ยินจากที่ชมรมเค้าพูดกันน่ะ”
      ผมพยักหน้ารับ แล้วเค้าก็พูดต่อ

      “เอ่อ คือ ผม ขอโทษที่โกหกคุณนะ คือ คนที่โทรไปหาคุณน่ะ คือผมเองแหละ เคยมีคนบอกว่าตอนที่เค้าโทรมาหาพี่  แล้วผมรับเค้ามักจะคิดว่าเป็นพี่เสมอ เค้าบอกว่าเสียงของเราสองคนเหมือนกัน  เมื่อได้ยินคนที่ชมรมเล่ากันว่าคุณฝันว่าได้รับโทรศัพท์จากพี่  ก็ทำให้ผมมีความคิดที่จะทำให้คุณหายเศร้าได้ขึ้นมา”
      เค้าพูดท่าทางสำนึกผิด 

      แต่ถ้าเค้าได้ยินจากชมรมว่านากามารุคุงโทรมาหาผม จากนั้นเค้าจึงโทรมา แล้วก่อนหน้านั้นจะเป็นใครกันล่ะที่โทรหาผม

      “คือ ผม รักคุณ ตั้งแต่ที่คุณมาบ้านครั้งก่อน ก่อนที่คุณจะเป็นแฟนกับพี่ผม แต่เพราะคุณอายุมากกว่าผม ผมเลยไม่กล้าที่จะบอก”

      เค้าบอกเสียงค่อยอย่างไม่มั่นใจนัก

      “ไม่เป็นไรหรอก ฉันต้องขอบใจเธอต่างหากล่ะ ที่ทำให้ฉันสบายใจขึ้นได้น่ะ ขอบใจนะ  เธอช่วยฉันได้มากเลย”
      ผมบอกพลางยิ้มให้อีกฝ่าย  เป็นการขอบคุณกลับไปให้

      “เอ่อ คือ มันน่าเกลียดไหม ถ้าผม เอ่อ จะขอโทรไปหาคุณอีก”
      เค้าถามพลางก้มหน้าไม่ยอมสบตากับผม

      “ก็ได้นะ แต่ขอเป็นเวลาปกติแล้วกัน”
      ผมตอบ แต่ก็อดที่จะแซวเล่นกลับไปไม่ได้

      “เอ่อ ครับ”




      และคืนนี้ก็มีโทรศัพท์มาตอนตี 4 อีกเช่นเคย.......

      “นากามารุคุง”
      ผมเอ่ยชื่ออีกฝ่ายทันทีที่กดรับสาย

      “ทัตสึยะ คือว่า...”
      เสียงของนากามารุคุงเหมือนอยู่แสนไกลเหลือเกิน

      “อะไรหรอ”

      “ผม...จะมาบอกลาน่ะ”


      “บอกลา?”
      ผมทวนกับตัวเอง หมายความว่ายังไงกันนะ

      “ผมต้องไปแล้ว และผมก็เห็นว่าทัตสึยะไม่จำเป็นต้องมีผมแล้ว จากนี้ก็พยายามทำตัวให้เข้มแข็งขึ้นนะ”

      “นากามารุคุง ขอบคุณนะ ขอบคุณมากสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง”
      ผมพูดสิ่งที่อยากจะพูดกับเค้าที่สุดออกไป  พลางยิ้มน้อยๆกับตัวเอง  แม้ว่ามันจะเป็นรอยยิ้มที่แสนเศร้าเหลือเกินก็ตาม  แต่ก็เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจจริงๆ  จากนั้นเค้าก็วางสายไป 

      ขณะนี้ผมกำลังร้องไห้ ตั้งใจว่าจะร้องไห้ให้เต็มที่ ร้องไห้ให้มากที่สุด เพื่อว่าวันต่อไปจะได้ไม่ต้องร้องไห้อีก จนกระทั่งเช้าน้ำตาผมถึงได้เหือดแห้งไป เช้านี้เป็นเช้าที่สดใส จนผมอดคิดไม่ได้ว่านี่อาจเป็นของขวัญล้ำค่าที่นากามารุคุงให้เพื่อเป็นการบอกลาก็เป็นได้  ผมมองออกไปนอกหน้าต่างยิ้มรับแสงตะวันแรงของวัน...

      จากนี้ผมจะเข้มแข็งให้มากขึ้น ให้สมกับที่นากามารุคุงหวังไว้ 

      วันต่อมาจุนโนะก็ยังคงโทรมาหาผมอยู่เช่นเคย..............................



      .................................................





      ................THE END................




      พอดีได้เค้าโครงเรื่องมาจากเรื่องที่อ.มิจิโยะแต่งอ่ะค่ะ จำชื่อเรื่องไม่ได้แล้ว

      อ่านแล้วชอบค่ะ เลยลองเอามาแต่งเป็นแบบนี้ดูก็...นะ  แหะ แหะ


      รักคนเม้นท์มากๆๆๆๆๆคับผม

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×